การเทรดด้วยลำดับฟีโบนัชชีและการหาจุดพักตัว (retracements) เป็นเทคนิคยอดนิยมที่ช่วยให้นักเทรดสามารถระบุระดับราคาที่สำคัญเพื่อเข้าหรือออกจากตำแหน่งได้ ในบทความของวันนี้ เราจะมาดูกลยุทธ์การใช้ฟีโบนัชชีในการเพิ่มตำแหน่ง (scaling in) และวิธีการปิดสถานะการเทรดอย่างมีประสิทธิภาพเมื่อมีกำไร
สำหรับนักเทรดที่มีประสบการณ์และสามารถจัดการความเสี่ยงได้ดี วิธีการบริหารตำแหน่งนี้อาจเป็นวิธีที่ดีในการได้ราคาที่ดีกว่าในการเข้าเทรด และเพิ่มโอกาสทำกำไร
ลำดับฟีโบนัชชีและการเพิ่มตำแหน่งการเทรด
เราสามารถใช้ลำดับฟีโบนัชชีในการวางตำแหน่งอย่างเป็นระบบ ซึ่งช่วยในการจัดการความเสี่ยงและทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ แทนที่จะเพิ่มขนาดล็อต (หรือหน่วยอื่น) ในจำนวนเท่ากันที่แต่ละระดับฟีโบนัชชี ลำดับฟีโบนัชชีจะค่อยๆ เพิ่มขนาดตำแหน่งตามค่าลำดับฟีโบนัชชี (1, 1, 2, 3, 5, 8...)
วิธีดำเนินการเมื่อเพิ่มปริมาณการเทรดในตำแหน่ง Long
1. การเข้าเทรดครั้งแรก: เปิดตำแหน่งที่ระดับราคาที่สำคัญด้วยขนาด 1 ล็อต
2. ลดลงถึงระดับ 23.6%: หากราคาลดลงถึงระดับนี้ ให้เพิ่มอีก 1 ล็อต
3. ลดลงถึงระดับ 38.2%: หากราคาลดลงอีก ให้เพิ่มอีก 2 ล็อต
4. ลดลงถึงระดับ 50%: เพิ่มอีก 3 ล็อต
5. ลดลงถึงระดับ 61.8%: เพิ่มอีก 5 ล็อต
6. ลดลงถึงระดับ 76.4%: เพิ่มอีก 8 ล็อต
ด้วยวิธีนี้ เราจะเพิ่มตำแหน่งการเทรดเมื่อราคาลดลง ซึ่งจะช่วยลดราคาเฉลี่ยในการซื้อ ถ้าตลาดกลับตัวไปในทิศทางที่เราคาดหวัง ราคาเฉลี่ยของเราจะต่ำกว่าราคาที่เข้าซื้อครั้งแรก
ในตัวอย่างนี้ เราใช้ขนาดตำแหน่งเป็นจำนวนเต็ม (ล็อต) แต่สำหรับนักเทรดที่มีบัญชีขนาดเล็ก ควรปรับขนาดของตำแหน่งแรกและตำแหน่งที่ตามมาเพื่อให้ความเสี่ยงโดยรวมสอดคล้องกับขนาดบัญชีและหลักการจัดการความเสี่ยงพื้นฐาน
ตัวอย่างการใช้ Fibonacci Retracement ในการเพิ่มตำแหน่งการเทรด
ตารางนี้แสดงตัวอย่างที่เราเปิดตำแหน่ง Long ขนาด 1 ล็อตในคู่ GBPJPY ที่ระดับราคา 184.472 โดยตั้งค่า Stop Loss ไว้ที่ 183.712 เมื่อราคาขยับสวนทาง เราจึงเปิดตำแหน่งอื่น ๆ เพิ่มเติมตามระดับ Fibonacci Retracement โดยที่ระดับ 23.6% อยู่ที่ 184.293 เป็นต้น เราจึงเปิดตำแหน่งขนาด 8 ล็อตที่ 183.891
จากตารางจะเห็นได้ว่าราคาเฉลี่ยลดลงอย่างรวดเร็วแม้จะเพิ่มขนาดตำแหน่งในครั้งต่อ ๆ ไป และในที่สุดราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 184.027 ซึ่งต่ำกว่าราคาที่เราเปิดครั้งแรกที่ 184.472
เวลาที่เหมาะสมในการปิดสถานะเพื่อทำกำไร
การปิดสถานะเมื่อมีกำไรอย่างมีประสิทธิภาพสำคัญพอ ๆ กับการเข้าเทรดอย่างถูกต้อง มีหลายวิธีในการตัดสินใจในการทำกำไร เช่น:
- การใช้อัตราส่วนกำไรต่อความเสี่ยง (RRR) ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า
- การใช้ Fibonacci Expansion
- การใช้สัญญาณจากอินดิเคเตอร์ทางเทคนิค
- การใช้ระดับราคาทางจิตวิทยา
การเลือกวิธีที่เหมาะสมจะช่วยเพิ่มโอกาสในการปิดสถานะอย่างมีกำไร
1. RRR ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า
วิธีที่ง่ายที่สุดในการปิดสถานะคือการตั้งอัตราส่วนกำไรต่อความเสี่ยง (Reward to Risk Ratio) ไว้ล่วงหน้า ตัวอย่างของเรานี้ เมื่อราคาตั้งต้นและตั้งค่า SL ไว้ที่ 76 จุด โดยมีอัตราส่วนกำไรต่อความเสี่ยงที่ 2:1 เราจะตั้ง TP ที่ระดับ 185.992
เนื่องจากราคาทำผลงานไม่ดีในช่วงแรก แต่หลังจากลงมาถึงระดับ 183.891 ซึ่งเราได้ซื้อเพิ่มไปอีก 8 ล็อต ราคาก็กลับทิศทางมาในแนวที่เราคาดหวังได้ ในกรณีนี้ เราสามารถปิดการเทรดด้วยอัตราส่วน RRR เดิมแต่ที่ระดับราคาที่ต่ำลงมาเป็น 184.657 ซึ่งหมายความว่า โดยการเปิดตำแหน่งเพิ่มเติมและเฉลี่ยราคาต้นทุน เราสามารถปิดการเทรดที่อัตราส่วน RRR เดิมแต่ในระดับที่ใกล้กับราคาตลาดปัจจุบันมากขึ้น
2. การขยายตัวของฟีโบนัชชีเพื่อกำหนดระดับเป้าหมาย
การขยายตัวของฟีโบนัชชีช่วยทำนายระดับราคาที่ราคาน่าจะไปถึงหลังจากการปรับตัวจบลง ระดับเป้าหมายที่พบได้บ่อยของการขยายตัวมีดังนี้:
- 100% (กลับมาสู่ระดับราคาเดิม),
- 127.2%,
- 161.8%,
- 261.8%.
เมื่อราคาเข้าใกล้ระดับการขยายตัวเหล่านี้ เราสามารถพิจารณาปิดสถานะแบบค่อยเป็นค่อยไปหรือทำกำไรได้
3. อินดิเคเตอร์ทางเทคนิคเพื่อยืนยันการปิดสถานะ
นอกจากระดับฟีโบนัชชีแล้ว เรายังสามารถดูอินดิเคเตอร์ทางเทคนิคที่จะให้สัญญาณเพิ่มเติมในการปิดสถานะ:
- RSI (Relative Strength Index): หากค่า RSI เกิน 70 แสดงว่าตลาดอาจอยู่ในสภาวะซื้อเกิน (overbought) ซึ่งบ่งบอกถึงความเป็นไปได้ในการกลับทิศทางของราคา เป็นสัญญาณที่ดีในการปิดบางส่วนหรือทั้งหมดของสถานะ
- MACD: แรงส่งที่ลดลงหรือการตัดกันของเส้นสัญญาณ MACD อาจเป็นสัญญาณในการทำกำไร
- ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages): การตัดกันของค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ เช่น เส้นค่าเฉลี่ย 50 วันและ 200 วัน สามารถเป็นสัญญาณบ่งบอกการเปลี่ยนแปลงแนวโน้ม ซึ่งเป็นเวลาที่ดีในการปิดสถาน
4. ระดับราคาทางจิตวิทยาและจุดสูงสุด/ต่ำสุดก่อนหน้า
ระดับราคาทางจิตวิทยา (เช่น ตัวเลขกลม ๆ อย่าง 185,000) หรือจุดสูงสุด/ต่ำสุดก่อนหน้ามักเป็นจุดที่มีความสำคัญในการเปลี่ยนทิศทางของราคา ระดับเหล่านี้เป็นจุดที่ดีในการปิดสถานะที่มีกำไร
5. การปิดสถานะแบบค่อยเป็นค่อยไป
แทนที่จะปิดสถานะทั้งหมดในครั้งเดียว เราสามารถใช้เทคนิคการปิดสถานะแบบค่อยเป็นค่อยไปได้ เช่น ปิดบางส่วนของสถานะที่ระดับฟีโบนัชชี 127.2% และอีกส่วนที่ 161.8% อีกวิธีหนึ่งคือการขยับ Stop Loss ให้สูงกว่าราคาปัจจุบันเพื่อปกป้องกำไรบางส่วน
การจัดการความเสี่ยงในการเพิ่มตำแหน่ง
เมื่อเทรดโดยใช้ Fibonacci retracements และการเพิ่มตำแหน่ง การตั้งค่า Stop Loss และการปฏิบัติตามหลักการจัดการความเสี่ยงอย่างถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญ หากราคาหลุดต่ำกว่าระดับฟีโบนัชชีหลัก (เช่น 100%) อาจพิจารณาปิดสถานะทั้งหมด
นอกจากนี้ ควรตรวจสอบ RRR (Reward to Risk Ratio) อย่างสม่ำเสมอ หากกำไรที่คาดหวังของเราไม่ถึงอย่างน้อยสองเท่าของความเสี่ยง อาจเหมาะสมที่จะปิดสถานะ
สรุป
กลยุทธ์การเพิ่มตำแหน่งโดยใช้ลำดับฟีโบนัชชีและการหาจุดพักตัว (retracements) ช่วยให้เรามีแนวทางที่เป็นระบบในการบริหารตำแหน่งและลดราคาเฉลี่ย การผสมผสานกลยุทธ์นี้กับการขยายตัวของฟีโบนัชชีและอินดิเคเตอร์ทางเทคนิคช่วยให้เราปิดสถานะได้อย่างมีประสิทธิภาพในเวลาที่เหมาะสมและทำกำไรได้ การจัดการความเสี่ยงที่เหมาะสมและวินัยในการเทรดเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในระยะยาวเมื่อใช้กลยุทธ์นี้
ตัวอย่างให้เห็นภาพกันนะคะ
ในการใช้ Fibonacci ทางเทคนิคอลในภาพนี้ เรามีการวางแผนและคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคาโดยการใช้ Fibonacci Retracement เป็นตัวบ่งชี้ระดับต่าง ๆ ที่สำคัญ โดยขั้นตอนที่ใช้มีดังนี้:
1.กำหนดระดับ Fibonacci Retracement: จากภาพจะเห็นว่าเรากำหนดระดับสำคัญ เช่น 0.236, 0.382, 0.5, 0.618, และ 0.786 ซึ่งเป็นระดับที่ช่วยบอกถึงจุดพักตัวหรือการย่อตัวของราคาในการเคลื่อนไหวใหญ่
2.วางแผนเข้าเทรดตามการย่อตัว: จุดเข้าเทรดถูกวางไว้ที่ระดับต่าง ๆ ของ Fibonacci ซึ่งคาดการณ์ว่าราคาอาจมีการย่อตัวลงมาตามระดับเหล่านี้ก่อนที่จะปรับตัวขึ้นอีกครั้ง การวางจุดนี้ช่วยให้เราเข้าสู่ตลาดในจังหวะที่ราคาย่อตัวตามแนว Fibonacci
3.กำหนดจุด Take Profit: จุด Take Profit ถูกตั้งไว้เหนือระดับ Fibonacci ที่ระดับ 1.0 และ 1.618 ซึ่งเป็นเป้าหมายการทำกำไรที่คาดว่าจะถึงเมื่อราคามีการดีดตัวกลับจากการย่อตัวขึ้นมา
4.กำหนดจุด Stop Loss: การวาง Stop Loss จะอยู่ที่ระดับต่ำกว่าจุดที่มีความเสี่ยงต่ำสุด หรือที่ 0.0 ของ Fibonacci เพื่อจำกัดการขาดทุนในกรณีที่ราคาลงไปต่ำกว่าจุดนี้
โดยรวม การใช้ Fibonacci ในกลยุทธ์นี้ช่วยให้เรากำหนดจุดเข้าออกและการบริหารความเสี่ยงในการเทรดได้อย่างชัดเจน
การยืนยันการเข้า-ออกออเดอร์เทรดโดยใช้อินดิเคเตอร์อื่น ๆ ร่วมกับ Fibonacci สามารถช่วยเพิ่มความแม่นยำในการเทรดได้ ตัวอย่างอินดิเคเตอร์ที่มักนำมาใช้เพื่อยืนยันแนวโน้มและจังหวะเข้า-ออก ได้แก่:
เพื่อเพิ่มความชัดเจนและความแม่นยำในการยืนยันจุดเข้า-ออกออเดอร์ด้วยอินดิเคเตอร์อื่น ๆ ร่วมกับ Fibonacci นี่คือการนำตัวอย่างมาอธิบาย:
1. RSI (Relative Strength Index)
การใช้งาน: RSI ใช้วัดระดับความแข็งแกร่งของราคา โดยหาก RSI สูงกว่า 70 หมายถึงอยู่ในโซน Overbought (ราคาอาจจะมีการปรับตัวลง) และถ้าอยู่ต่ำกว่า 30 หมายถึง Oversold (ราคาอาจจะปรับตัวขึ้น)
ตัวอย่างการใช้งานร่วมกับ Fibonacci: สมมติว่าราคาย่อตัวมาที่ระดับ Fibonacci 0.618 ซึ่งเป็นระดับที่หลายเทรดเดอร์มองว่าอาจเกิดการกลับตัวขึ้นได้ และถ้า RSI อยู่ใกล้ระดับ 30 ด้วย ก็จะเป็นการยืนยันว่าจุดนี้มีโอกาสสูงที่จะเป็นจุดกลับตัวที่ดีสำหรับการเข้าออเดอร์ Buy
2. MACD (Moving Average Convergence Divergence)
การใช้งาน: MACD ใช้ดูการตัดกันระหว่างเส้น MACD และเส้น Signal เพื่อตรวจสอบจุดที่แนวโน้มจะเปลี่ยนทิศทาง
ตัวอย่างการใช้งานร่วมกับ Fibonacci: หากราคาปรับตัวขึ้นมาถึงระดับ Fibonacci 1.0 ซึ่งเป็นจุดสำคัญที่มักใช้เป็นเป้าหมายการทำกำไร และในขณะเดียวกัน MACD เกิดการตัดลงจากเส้น Signal ก็อาจเป็นการยืนยันว่าราคาอาจถึงจุดสูงสุดและเตรียมกลับตัว เป็นสัญญาณที่ดีในการปิดออเดอร์หรือออกจากการเทรด
3. เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages)
การใช้งาน: เส้นค่าเฉลี่ยเช่น EMA 50 หรือ EMA 200 ใช้ตรวจสอบทิศทางแนวโน้ม หากราคาวิ่งเหนือ EMA แสดงแนวโน้มขาขึ้น และต่ำกว่า EMA เป็นแนวโน้มขาลง
ตัวอย่างการใช้งานร่วมกับ Fibonacci: หากราคาย่อตัวมาที่ระดับ Fibonacci 0.5 และอยู่เหนือ EMA 50 แสดงให้เห็นว่าทิศทางยังคงเป็นขาขึ้น นี่อาจเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับการเข้าออเดอร์ Buy เนื่องจากแนวโน้มหลักยังคงสนับสนุนทิศทางขึ้น
4. Bollinger Bands
การใช้งาน: Bollinger Bands ใช้วิเคราะห์ความผันผวนและบอกถึงขอบเขตการเคลื่อนไหวของราคา
ตัวอย่างการใช้งานร่วมกับ Fibonacci: หากราคาย่อตัวลงมาที่ระดับ Fibonacci 0.382 ซึ่งใกล้กับขอบล่างของ Bollinger Bands ก็อาจบ่งบอกว่าราคาอยู่ในภาวะ Oversold และอาจเกิดการดีดตัวขึ้น เป็นจังหวะที่น่าสนใจในการเข้าออเดอร์ Buy
การใช้อินดิเคเตอร์เหล่านี้ควบคู่กับระดับ Fibonacci ช่วยให้คุณมั่นใจมากขึ้นในจุดเข้า-ออก และยังสามารถกรองสัญญาณลวงได้ ลดโอกาสในการขาดทุนและเพิ่มความแม่นยำในการทำกำไร