หลากหลายธุรกิจแข่งขันด้วยสินค้าและบริการที่มีคุณภาพ เต่เราย่อมรู้ดีว่าต่อให้มีสินค้าที่ดี การบริการที่ดี หรือความตั้งใจของแบรนด์ที่อยากผลิตของดีๆ บริการที่มาจากใจให้กับกลุ่มผู้บริโภคมากมายขนาดไหน หากความตั้งใจนี้ไม่ถูกสื่อสารไปถึงกลุ่มลูกค้า ไม่เกิดการรับรู้ มันก็ไม่มีประโยชน์เท่าไร
ดังนั้น ในยุคปัจจุบันที่แต่ละตลาดมีการแข่งขันสูง แบรนด์จำนวนมากจึงนำเอาวิธีการเล่าเรื่องแบบ Storytelling เข้ามาช่วยสื่อสารกับลูกค้าและเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมให้การทำ Content Marketing ของแบรนด์ดีขึ้น ด้วยข้อดีหลากหลายประการ เช่น การสร้างจุดเชื่อมโยงกับลูกค้า สร้างความน่าสนใจ และสร้างความไว้วางใจ ทำให้ การเล่าเรื่องแบบ Storytelling ถูกนำมาประยุกต์กับการตลาดด้วยเช่นกัน แต่ไม่ใช่ว่าทุกแบรนด์จะสามารถประสบความสำเร็จด้วยการเล่าเรื่องแบบ Storytelling ไม่ใช่แค่ผ่านการเล่าเรื่อง ภายใต้ความสำเร็จของการเล่าเรื่องเชิงการตลาด มันมีเทคนิคอะไรมากกว่านั้น
Storytelling ก็คือ การพูดเล่าเรื่อง ถือเป็นหนึ่งในสกิลทางการตลาดที่ทรงพลังมากที่สุด จนเรียกได้ว่าเป็นสกิลที่เป็นที่ต้องการสำหรับอนาคตเลยทีเดียว แน่นอนว่าเราทุกคนเกิดมาพร้อมกับทักษะการเล่าเรื่อง แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถเล่าเรื่องได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเล่าเรื่องที่ดี ผู้ฟังต้องรู้สึกเข้าถึง เชื่อมโยง และร่วมรู้สึกไปกับมัน ยิ่งพอมาเกี่ยวข้องในเชิงธุรกิจ การเล่าเรื่องยิ่งเป็นสิ่งที่ต้องฝึกฝนและทำความเข้าใจ เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุดให้กับภาพลักษณ์ของแบรนด์และตัวผลิตภัณฑ์ที่แบรนด์ต้องการนำเสนอ
หากเราสื่อสารได้โดนใจลูกค้า ทำให้เขารู้สึกเชื่อมโยงกับเรา ก็มีโอกาสมากกว่าที่เขาจะตัดสินใจใช้ผลิตภัณฑ์ของเรา ซึ่ง การเล่าเรื่องแบบ Storytelling นี่แหละ ที่จะเป็นกุญแจสำคัญที่จะสร้างความประทับใจแก่ลูกค้ารวมไปถึงกลุ่มเป้าหมายในอนาคต และนำมาซึ่งการสร้างมูลค่าให้แบรนด์คุณ รวมไปถึงมัดใจลูกค้าให้อยู่หมัดจนกลายมาเป็น Customer Brand Loyalty หรือลูกค้าที่จงรักภักดีกับสินค้าของเราในที่สุด
การเล่าเรื่องในเชิงการตลาดสามารถอยู่ในหลากหลายรูปแบบ รูปแบบที่เราคงจะคุ้นเคยกันดีก็คือ Brand Storytelling (Storytelling for brands) หรือการเล่าเรื่องแบรนด์ เป็นการพูดถึงเรื่องราวเบื้องหลังของแบรนด์ของคุณ ว่าคุณผ่านอะไรมา ทำไมธุรกิจของคุณถึงมีอยู่ และธุรกิจของคุณได้ช่วยเหลืออะไรบ้าง ซึ่งการที่ธุรกิจของคุณสามารถแบ่งปันเรื่องราว หรือประสบการณ์ที่เคยผ่านพบเจอมา จะทำให้ธุรกิจของคุณนั้นมีความน่าสนใจมากขึ้น เชื่อมต่อกับผู้คน และสร้างความไว้วางใจในกลุ่มผู้รับสาร
การมองหาความแตกต่าง ที่จะมาเป็นจุดแข็งให้กับแบรนด์ เป็นเรื่องที่นักการตลาด และเจ้าของธุรกิจจะต้องคิดหากุลยทธ์เพื่อมัดใจกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งหลาย ๆ คนอาจจะต้องเจอกับความท้าทายต่าง ๆ เหล่านี้
เช่น คู่แข่งมีสินค้าแบบเดียวกัน คุณสมบัติแบบเดียวกัน โปรโมชั่นเหมือนกัน ขายในสถานที่คล้ายกัน
แต่ว่า!! แบรนด์คู่แข่ง ก็ยังสามารถขายได้มากกว่า และยังขายในราคาที่สูงกว่าได้ ซึ่ง 1 ในวิธีการทำการตลาดนั้นมาจากการใช้คอนเทนต์แบบการเล่าเรื่อง หรือ Storytelling นั่นเอง อย่างที่ทราบกันดีว่าคอนเทนต์ในโลกออนไลน์ มีจำนวนเกินกว่าที่ผู้บริโภคจะรับสารได้ทั้งหมด
เพราะฉะนั้น การสื่อสารที่แสดงให้ผู้บริโภคเห็นถึงความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของแบรนด์ ด้วยวิธีการเล่าเรื่องให้มีที่มาที่ไปแบบไม่ซ้ำใคร จะช่วยเพิ่มความน่าสนใจ และกลายเป็นที่จดจำได้ง่ายขึ้น ซึ่งการเล่าเรื่องเพียงแค่การเหตุผลกับลูกค้า ว่าทำไมพวกเขาจึงควรซื้อผลิตภัณฑ์ หรือทำไมต้องใช้บริการของธุรกิจเราเพียงอย่างเดียว จะใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป การแบ่งปันเรื่องราวเบื้องหลังของแบรนด์ของคุณ ว่าคุณผ่านอะไรมา ทำไมธุรกิจของคุณถึงมีอยู่ และธุรกิจของคุณได้ช่วยเหลืออะไรบ้าง ซึ่งการที่ธุรกิจของคุณสามารถแบ่งปันเรื่องราว หรือประสบการณ์ที่เคยผ่านพบเจอมา จะทำให้ธุรกิจของคุณนั้นมีความน่าสนใจมากขึ้น และเชื่อมต่อกับผู้คน สร้างความไว้วางใจ โดยเรื่องราวที่ถูกบอกเล่าออกไป จะส่งผลให้เกิดการสร้างมูลค่าให้แก่แบรนด์ของคุณ โดยการเล่าเรื่องราวเช่นนี้เรียกว่า Stoytelling นั่นเอง