การแก้ปัญหาของ M ในภาวะ "ของแพง" ทุกอย่าง

อ่าน 425


ฉบับย่อ

บริษัทจะเน้นหนักไปที่การทานในร้านอาหารมากขึ้น เนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงกว่า
ยอดขายต่อสาขาฟื้นตัวอย่างเด่นชัดหลังวิกฤตโควิด
ต้นทุนเนื้อสัตว์ ปรับตัวสูงขึ้นราวๆ 40-50% จากปีที่แล้ว


ถือเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจของหุ้น M หรือบริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)

เจ้าของร้านอาหารเอ็ม เค สุกี้, ยาโยอิ รวมถึงแบรนด์อื่นๆ และล่าสุดมีประเด็นเรื่องของการเข้าซื้อธุรกิจร้านอาหารทะเลแหลมเจริญ ซีฟู้ด


ต้องยอมรับตามความจริงว่าในสภาวะที่ราคาน้ำมันแพง ต้นทุนแทบทุกอย่างโดยเฉพาะ "การทำอาหาร" แทบจะขึ้นกันหมด ตั้งแต่เนื้อสัตว์ ผัก น้ำมัน เครื่องปรุงอาหาร

แน่นอนว่า M ที่มียอดขายเกือบ 2 หมื่นล้านบาท กับต้นทุนที่พุ่งสูงขึ้นอย่างนี้น่าจะเป็นปัจจัยหลักกดดันผลประกอบการให้ไม่น่าจะดีได้ในปี 2565 อย่างแน่นอน


แต่ไม่ใช่แบบนั้น ....

เพราะผู้บริหารของ M มองทิศทางของผลประกอบการไปใน "เชิงบวก" สำหรับปี 2565

อย่างไรบ้าง อยากจะเล่าให้ฟังแบบนี้ครับ


1. ต้นทุนเนื้อสัตว์ ปรับตัวสูงขึ้นราวๆ 40-50% จากปีที่แล้ว

แต่ด้วยว่าบริษัทเป็นร้านอาหารขนาดใหญ่ มีอำนาจการต่อรองในการสั่งซื้อวัตถุดิบที่ถูกลง เฉลี่ยสูงขึ้นราวๆ 10% เท่านั้น และร้านอาหารมีการปรับขึ้นราคาเฉลี่ยราวๆ 3% ช่วงปลายเดือนมกราคม ทำให้ปัจจัยทางด้านต้นทุนวัตถุดิบโดยเฉพาะเนื้อสัตว์ไม่กระทบกับผลประกอบการมากนัก


2.  ยอดขายต่อสาขาฟื้นตัวอย่างเด่นชัดหลังวิกฤตโควิด

คนอยากทานอาหารนอกบ้านมากขึ้น การจับจ่ายใช้สอยเพิ่มสูงขึ้น คนฉีดวัคซีนมากขึ้น การบริโภคฟื้นตัว ทำให้ช่วงเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ยอดขายต่อสาขา (SSSG) ปรับตัวเพิ่มขึ้น 15%

ซึ่งทั้งปี บริษัทคาดว่ายอดขายต่อสาขาจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 30% ในปี 2565


3. บริษัทจะเน้นหนักไปที่การทานในร้านอาหารมากขึ้น เนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงกว่า

ซึ่งแตกต่างจากช่วง Lockdown ที่จำหน่ายแต่ Delivery ที่อัตรากำไรขั้นต้นต่ำกว่ามาก


4. ด้วยสภาวะเงินเฟ้อสูง บริษัทมีการเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนระยะยาวด้วย "หุ่นยนต์" เสิร์ฟอาหาร

โดยปัจจุบันบริษัทมีแล้ว 500 เครื่อง ซึ่งหุ่นยนต์ 1 ตัว จะทดแทนพนักงานได้ราวๆ 1.5 คน ลดค่าใช้จ่ายด้านพนักงานได้ 10% หรือคิดเป็นค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเกือบทั้งหมดราวๆ 5%

ในอนาคต บริษัทวางแผนเพิ่มอีก 500 ตัว


5. ช่วงโควิด บริษัทมีการปิดสาขาที่ไม่ทำกำไร และสาขาที่มีอัตรากำไรค่อนข้างต่ำเพื่อรักษาสถานะทางการเงิน

แต่พอสถานการณ์เริ่มเข้าสู่สภาวะปกติ บริษัทมีการขยายสาขาเพิ่มแล้ว 5 สาขา และตั้งเป้าเพิ่ม 26 สาขาในปีนี้ ช่วยหนุนการเติบโตของผลประกอบการให้ดียิ่งขึ้น


เรื่องราวของธุรกิจร้านอาหารที่ดูเหมือนว่าจะ "กระทบหนัก"

แต่บริษัทมีแผนการเตรียมรับมือไว้พร้อมอยู่แล้ว โดย เพิ่มยอดขายต่อสาขา เพิ่มอัตรากำไรขั้นต้น และใช้เทคโนโลยีหุ่นยนต์เข้ามาช่วยควบคุมต้นทุน

เชื่อว่า M จะกลับมาเติบโตได้ดีในอนาคตอย่างแน่นอนครับ


อ้างอิง