แนวโน้มราคาทองคำ ปัจจัยดอลลาร์แข็งค่าและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรกดดันตลาด

อ่าน 304


ฉบับย่อ

ราคาทองคำยังคงอยู่ในแนวโน้มขาลงจากแรงกดดันของดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ที่สูงขึ้น ทำให้ทองคำไม่น่าสนใจในสายตานักลงทุน ในระยะสั้น นักลงทุนจับตาการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งอาจหนุนราคาทองคำให้ฟื้นตัว



มุมมองทางเทคนิค


  • แนวโน้มราคา (Trend):

ราคาทองคำอยู่ในแนวโน้มขาลง โดยเคลื่อนตัวในช่องแนวโน้มขาลง (Downtrend Channel) ตามที่เห็นในกราฟ ซึ่งบ่งบอกถึงแรงขายที่ยังคงแข็งแกร่ง

  • ระดับแนวรับและแนวต้าน (Support and Resistance Levels):

แนวต้านสำคัญ: อยู่ที่ระดับ 2,592.62 USD และ 2,596.93 USD หากราคาไม่สามารถทะลุระดับนี้ไปได้ อาจมีการปรับตัวลงต่อ

แนวรับสำคัญ: อยู่ใกล้กับระดับ 2,525 USD ซึ่งเป็นบริเวณแนวรับด้านล่างของช่องแนวโน้มขาลง หากราคาลงมาถึงจุดนี้แล้วมีการดีดกลับ อาจเป็นจุดที่นักลงทุนพิจารณาการเข้าซื้อ

  • อินดิเคเตอร์ทางเทคนิค (Technical Indicators):

Moving Average (MA): ราคายังคงเคลื่อนไหวต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย (MA) แสดงถึงแนวโน้มขาลงที่ยังมีความแข็งแกร่ง

Relative Strength Index (RSI): RSI อยู่ในโซน Oversold ที่ประมาณ 23.76 ซึ่งบ่งชี้ถึงภาวะการขายมากเกินไป อาจมีโอกาสเกิดการดีดกลับในระยะสั้น

มุมมองทางพื้นฐาน (Fundamental Analysis)

  • ปัจจัยจากดอลลาร์และอัตราผลตอบแทนพันธบัตร:

ดัชนีดอลลาร์ (Dollar Index) พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 7 เดือน ทำให้ทองคำซึ่งซื้อขายในรูปดอลลาร์แพงขึ้น และลดความน่าสนใจในสายตานักลงทุนที่ถือสกุลเงินอื่น

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปีพุ่งขึ้นแตะระดับ 4.468% ซึ่งเพิ่มต้นทุนค่าเสียโอกาสในการถือครองทองคำ เนื่องจากทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ย ทำให้แรงกดดันต่อราคาทองคำยังคงอยู่

  • ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI):

ดัชนี CPI สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 2.6% ในเดือนตุลาคม และ Core CPI เพิ่มขึ้น 3.3% ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ตัวเลขนี้ส่งผลให้นักลงทุนให้น้ำหนัก 82% ว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือนธันวาคม

ความคาดหวังเรื่องการปรับลดดอกเบี้ยอาจช่วยเพิ่มแรงซื้อในทองคำ เนื่องจากการลดดอกเบี้ยมักจะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวลง ลดแรงกดดันในการถือครองทองคำ

  • ปัจจัยอื่น ๆ ที่ต้องติดตาม:

สุนทรพจน์ของ เจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ซึ่งจะกล่าวถึงแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจมีผลกระทบต่อตลาด หากมีการบอกใบ้เกี่ยวกับนโยบายการเงินในอนาคต

การเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ เช่น จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ยอดค้าปลีก และการผลิตภาคอุตสาหกรรมในเดือนตุลาคม อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและทิศทางราคาทองคำ

การวางแผนเทรด

  • กลยุทธ์การเข้าซื้อ (Buy Strategy):

รอให้ราคาลงมาทดสอบแนวรับที่ 2,525 USD และดูสัญญาณการกลับตัวจากอินดิเคเตอร์ RSI หรือสัญญาณทางเทคนิคอื่น ๆ ในกราฟก่อนพิจารณาเข้าซื้อ

หากมีการปรับลดดอกเบี้ยตามคาดในเดือนธันวาคม อาจมีแรงซื้อเข้ามาหนุนราคา

  • กลยุทธ์การขาย (Sell Strategy):

หากราคามีการปรับขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่ 2,592.62 USD และ 2,596.93 USD แต่ไม่สามารถทะลุผ่านได้ สามารถพิจารณาขายตามแนวโน้มขาลง

สัญญาณจากดัชนีดอลลาร์ที่แข็งค่าและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่สูงยังเป็นปัจจัยกดดันราคาทองคำ

  • การจัดการความเสี่ยง (Risk Management):

ตั้งจุด Stop Loss ใกล้กับระดับแนวรับหรือแนวต้านที่สำคัญเพื่อจำกัดความเสี่ยง

ติดตามข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญอย่างใกล้ชิด รวมถึงสุนทรพจน์ของเจอโรม พาวเวล และข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่จะประกาศในสัปดาห์นี้

สรุป: การวิเคราะห์ทั้งทางเทคนิคและปัจจัยพื้นฐานชี้ว่าราคาทองคำยังคงเผชิญแรงกดดันจากการแข็งค่าของดอลลาร์และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่สูง แต่ยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นในระยะสั้นหากดัชนี CPI ส่งผลให้เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม

ข่าวที่ส่งผลต่อราคาทองคำ

ประจำวันที่ 14 พฤศจิกายน 2567

การคาดการณ์ที่แจ้งคือเป็นตัวเลขที่คาดการณ์เทียบกับครั้งก่อนนะคะ ต้องรอดูค่าจริงอีกครั้งค่ะ



ราคาทองคำ    ทองคำ    มือใหม่หัดเทรด   
อ้างอิง