5 สิ่งที่มือใหม่ต้องรู้ก่อนตัดสินใจ “เล่นหุ้น”

อ่าน 427


ฉบับย่อ

มือใหม่จะเริ่มต้นเล่นหุ้น ลงทุนในหุ้น ต้องเริ่มตรงไหน เตรียมตัวลงทุนด้วย 5 สิ่งที่ต้องรู้ก่อนลงทุนกัน


ใครๆ ก็ว่า “เล่นหุ้น” ไม่ใช่เรื่องยาก และมีข้อดีหลายอย่าง ตั้งแต่การสร้าง Passive income, การมีหุ้นก็เหมือนเป็นเจ้าของธุรกิจ ไปจนถึงการเล่นหุ้นคือการลงทุนที่ดีที่สุด

แต่โลกความเป็นจริงไม่ง่ายขนาดนั้น เพราะโลกของการลงทุนมีทั้งกำไรและขาดทุน หรือหากจะลงทุนเฉพาะในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ก็มีหุ้นให้เลือกมากกว่า 600 บริษัทฯ แล้วถ้าจะเริ่มต้นเล่นหุ้น ลงทุนในหุ้น ต้องเริ่มตรงไหน เตรียมตัวลงทุนด้วย 5 สิ่งที่ต้องรู้ก่อนลงทุนกัน 


1.สำรวจตนเองว่า ทำไมถึงอยากลงทุน

ก่อนจะกระโดดเข้าสนามการลงทุน เราอาจต้องสำรวจพื้นฐานของตัวเอง รวมถึงเป้าหมายของตัวเราก่อน เพื่อที่เราจะสามารถหารูปแบบ และวิธีการลงทุนที่เหมาะสมกับตนเอง เช่น

- ต้องการลงทุนและสร้างเงินเก็บ1 ล้านบาทบาทภายใน 5 ปี

- ลงทุนเพื่อสร้าง Passive income ระหว่างที่ยังทำงานประจำ

- ลงทุนเพื่อมีเงินปันผล

- ลงทุนเพื่อเก็บเงินก้อนให้ลูก

- ลงทุนเพื่อเก็บออมเงินไว้ใช้ยามเกษียณ

- และอีกหลากหลายเป้าหมาย (หรือเราอาจจะแบ่งการลงทุนตามแต่ละเป้าหมายก็ย่อมได้)


เมื่อเจอเป้าหมายที่ใช่แล้ว จึงมาสำรวจ “เงื่อนไข” และ “การรับความเสี่ยง” ของตัวเองกันต่อ เช่น เงินที่สามารถลงทุนได้ , เมื่อลงทุนแล้วหากขาดทุนจะรับได้แค่ไหน, ผลตอบแทนที่อยากได้อยู่ที่เท่าไร? สามารถเช็คสถานะการเงินเพื่อการลงทุนของตนเองได้ ที่นี่


เมื่อได้ทั้งเป้าหมาย และเงื่อนไขของตัวเองแล้ว เราจะมาสู่ขั้นตอนที่ 2 กัน


2. สไตล์การลงทุน เล่นหุ้นแบบไหนดี?

การเล่นหุ้น อาจจะมีหลายแบบ แต่สามารถแบ่งประเภทนักลงทุนได้ 2 สไตล์หลัก ๆ คือ

2.1 สายลงทุนพื้นฐาน (บ้างก็เรียกลงทุนสายคุณค่าหรือ Value Investing)

เป็นกลุ่มนักลงทุนที่มองระยะยาว (มากกว่า 1 ปีขึ้นไป) เมื่อจะถือหุ้นระยะยาวก็ทำให้นักลงทุนกลุ่มนี้ต้องดูที่พื้นฐานของหุ้นเป็นหลัก (Fundamental) และบางคนก็เลือกที่จะทยอยเข้าซื้อหุ้นแบบ DCA หรือ Dollar Cost Average หรือการเข้าซื้อหุ้นจำนวนเท่ากันทุกเดือนเพื่อให้ได้ราคาหุ้นที่ถัวเฉลี่ยกันไป

หากจะมองย่อยลงไปในนักลงทุนสายนี้อาจจะเข้าลงทุนในหุ้นกลุ่มที่มีการจ่ายเงินปันผล หรือ หุ้นที่จะเติบโตในระยะยาว


ตัวอย่างของนักลงทุนสายพื้นฐาน เช่น

Warren Buffett

John Neff

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร


2.2 สายเก็งกำไร

เป็นกลุ่มนักลงทุนที่อาจเชื่อว่า ตลาดหุ้น มีจังหวะที่ต้องเข้าซื้อ และขายออกเพื่อทำกำไร ดังนั้นจะเน้นการลงทุนระยะสั้น (น้อยกว่า 1 ปีลงมา) และจะเน้นที่การวิเคราะห์เชิงเทคนิค (Technical Analysis) โดยสายนี้จะมักให้ความสำคัญกับราคา

ทำให้ผลตอบแทนที่นักลงทุนกลุ่มได้มักจะเป็น “ส่วนต่าง” ในการซื้อหุ้นที่ราคาถูก และขายในช่วงที่ราคาแพงกว่าที่ซื้อมา จุดนี้เรียกว่า Capital Gain

สายนี้เองที่แตกแขนงย่อยได้อีกหลาย “สไตล์” เช่น


Day Trade  การซื้อ-ขายหุ้น หรือการเทรดหุ้นใน 1 วัน

Technical เมื่อต้องมองเรื่องราคาหุ้น ก็จะมีเทคนิคมากมายเพื่อดู “พฤติกรรมของราคาหุ้น” สะท้อนออกมาหลายรูปแบบ เช่น การเล่นหุ้นตามกราฟแท่งเทียน

สาย Hybrid ที่ผสมผสานทั้งการลงทุนจากพื้นฐาน และเทคนิค

นอกจากนี้บางตำรายังมีสายที่ 3 คือ ลงทุนตามกระแส หรือลงทุนตามเทรนด์ขาขึ้นลงของตลาด




3. เลือกโบรกเกอร์ (และวิธีการเปิดบัญชี)

การเปิดบัญชีหุ้น เราสามารถเปิดกับ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ได้เลย

ยิ่งปัจจุบันสามารถเปิดพอร์ตหุ้นออนไลน์ได้ในบางบล.แล้ว 


แต่จะมีรายละเอียดที่นักลงทุนต้องรู้คือ สามารถเลือกประเภทบัญชีหุ้น ได้ 3 แบบ

3.1 Cash Balance บัญชีแคชบาลานซ์ หรือ Pre-Paid (เหมาะกับนักลงทุนเริ่มต้น)

คือ การฝากเงินสดไว้กับโบรกเกอร์ สามารถซื้อขายตามเงินที่ฝากไว้ ซึ่งเงินในบัญชีหากไม่มีการซื้อขายก็ยังได้รับดอกเบี้ย แต่ค่อนข้างน้อยกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก


3.2 Cash Account บัญชีเงินสด 

คือ บัญชีที่นักลงทุนวางเงินไว้กับโบรกเกอร์ 20% ของวงเงินที่จะซื้อขาย (เช่นเราวางเงินกับโบรกเกอร์ 2,000 บาท จะลงทุนได้ไม่เกิน 10,000 บาท) และหลังจากซื้อหุ้นแล้วต้องโอนเงินชำระเต็มจำนวน ภายใน 2 วันทำการ (T+2) 


3.3 Credit Balance Account บัญชีมาร์จิน

คือ การกู้ยืมเงินจากโบรกเกอร์เพื่อซื้อหุ้น โดยวางหลักประกันในอัตราส่วนที่โบรกเกอร์กำหนด และมีการคิดดอกเบี้ย ซึ่งวงเงินการเทรดจะขยับเพิ่ม-ลดตามมูลค่าของหลักประกันด้วย 

ส่วนเอกสารเบื้องต้นในการขอเปิดพอร์ตหุ้นมี 3 อย่าง ได้แก่

- บัตรประชาชน

- สมุดบัญชีธนาคาร (ไว้ตัดเงินเข้าพอร์ต หรือรับปันผล)

- ทะเบียนบ้าน


4. ศึกษาข้อมูลพื้นฐานหุ้น 

ข้อ 4 เป็นหัวข้อที่ต้องเรียนรู้มากที่สุด เพราะก่อนจะเข้าซื้อหุ้นสักตัว ต้องทำการบ้าน ทั้งข้อมูลของบริษัทฯ ที่จะเข้าไปซื้อหุ้น เช่น ประเภทธุรกิจ, ภาวะตลาด, โมเดลธุรกิจ, ผลประกอบการย้อนหลัง ฯลฯ 

รวมถึงติดตามข่าวสารของที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของหุ้นนั้นๆ ว่ามีทิศทาง หรือปัจจัยที่อาจได้รับผลบวก หรือผลกระทบอย่างไร


5. ถ้ายังไม่มั่นใจ “ทดลองเล่นหุ้น” ก่อนได้

สุดท้ายแล้ว หากยังไม่แน่ใจว่า ข้อมูล เทคนิค และรูปแบบการลงทุนที่เลือกจะ “ใช่” แบบที่คิดไหม และยังไม่มั่นใจ

เราสามารถ “ทดลองเล่นหุ้น” ผ่านการเปิดพอร์ตในเว็บไซด์ Click2win ซึ่งเป็นโครงการของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จุดเด่นคือ

ทดลองซื้อ ขายหุ้น และอนุพันธ์บนมือถือคล้ายกับ Steaming ที่หลายคนใช้เทรดหุ้นจริง

มีเงินทุนจำลองให้พอร์ตละ 5 ล้านบาท (แต่ระบบจะลบข้อมูลพอร์ตทุก 3 เดือน)


สุดท้ายนี้ขอปิดด้วยคำว่า

“การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน”

Passive income    เตรียมตัวก่อนเล่นหุ้น    มือใหม่    เล่นหุ้น    การลงทุน    หุ้น   
อ้างอิง

- ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET), ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท).