Elliott Wave คืออะไร? พฤติกรรมของกราฟที่เป็นลูกคลื่น จะมองอย่างไร

อ่าน 545


ฉบับย่อ

กราฟมีลักษณะของการขึ้น ลง ขึ้น ลง ซึ่งพฤติกรรมการขึ้นลงดังกล่าวเกิดจากพฤติกรรมของคนเทรด ส่งผลให้เกิดพฤติกรรมซ้ำๆ หลายๆครั้ง จนสามารถนำมาคำนวณเป็นสูตรของ Elliott Wave ได้


Elliott Wave คือ

พฤติกรรมของกราฟที่มีลักษณะเป็นลูกคลื่น

คือกราฟมีลักษณะของการขึ้น ลง ขึ้น ลง ซึ่งพฤติกรรมการขึ้นลงดังกล่าวเกิดจากพฤติกรรมของคนเทรด ส่งผลให้เกิดพฤติกรรมซ้ำๆ หลายๆครั้ง จนสามารถนำมาคำนวณเป็นสูตรของ Elliott Wave ได้

ทฤษฏี Elliott wave ถูกพัฒนาโดยRalph Nelson Elliott (ราฟ เนลสัน เอลเลียต) ในปี คศ. 1930 การค้นพบนี้ได้ถูกตีพิมพ์ลงในหนังสือชื่อ “Wave principle”

Elliott wave ได้ใช้พื้นฐานของทฤษฏีดาว มาต่อยอด

หลักการของ Elliott wave กล่าวว่า

วงจรของตลาดจะเกิดขึ้นซ้ำๆกันอันเนื่องมาจาก อารมณ์ของนักลงทุนในตลาด ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ได้ส่งผลออกมาในรูปแบบของกราฟ ในรูปแบบเดิมๆ ซ้ำๆ อยู่เสมอ  ดังจะเห็นได้จากกราฟ มี pattern ต่างๆ ซ้ำๆกันอยู่เสมอ เขาเรียกมันว่า การสวิงขึ้น ลงของราคา โดยในขาขึ้นนั้นเรียกว่า “Impulse” และทิศทางขาลงเรียกว่า “Correction

Elliott Wave ประกอบด้วยคลื่น ในทิศทางขาขึ้น Impulse 5 ลูก คือ 1-2-3-4-5 และ ในทิศทางขาลง Correction 3 ลูก คือ A-B-C รูปแบบของกราฟ Elliot Wave สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการทำกำไรในตลาด Forex หรือว่าตลาดใดๆในโลกที่ มีมนุษย์เป็นผู้กำหนดทิศทางของราคา ไม่ว่า  ตลาด  Forex, ตลาดหุ้นใดๆ ในโลก หรือ ตลาด Tfex สามารถใช้ ทฤษฎีนี้ประกอบการตัดสินใจในการเทรดที่ได้ประสิทธิภาพในระดับหนึ่ง

คลื่น1

คลื่นลูกแรก มักจะเกิดจากการ กลับตัวในช่วงขาลง หรือ หมดจาก Correction แล้ว  พอเริ่มเกิดคลื่นลูกที่ 1 เราจะยังคงไม่สังเกตเห็นได้ง่าย เพราะบางทีอาจมองมันเป็นเพียงแค่การ รีบาวด์ของขาลงเท่านั้น ซึ่งตรงนี้ เองเป็นจุดที่ราคาของกราฟเริ่มปรับฐาน  เราจะทราบ เมื่อ เกิด คลื่นลูกที่ 2 


คลื่น2

มื่อเกิดคลื่นลูกแรกแล้ว คลื่นลูกที่ 2 คือ การปรับ  ฐานของขาขึ้น เกิดจากแรงเทขายของนักลงทุนที่รู้สึกว่ากราฟนั้นได้ขึ้นสูงจนเกินไปจากทิศทางขาลงทำให้เกิดแรงเทขายและทำให้กราฟตกลงมา ตรงนี้จะเกิดแรงซื้อเข้ามาด้วย จุดสังเกตง่ายๆ ของคลื่น 2 ก็คือ กราฟจะไม่ลงไป ถึงจุดต่ำสุดของกราฟคลื่น  1  จากนั้นราคา จะดีด ตัวทะลุ High ของเวฟ 1 ขึ้นไป ทำเวฟ 3

คลื่น3

คลื่น 3. เป็นคลื่นที่สังเกตง่ายที่สุด วิธีการสังเกตก็คือ จะเป็นคลื่นที่ยาวที่สุดในทิศทางขาขึ้นเมื่อเกิดคลื่นลูกที่ 3 แล้ว จะเป็นการยืนยัน ทั้งเวฟ 1 เวฟ 2 และ สามารถกำหนดเป้าหมายคร่าวๆ ของ เวฟ 4 และ เวฟ 5 ได้ ดังนั้นเวฟ 3 จึงเป็นเวฟที่ สำคัญที่ สุดในการบ่งบอกทิศทางของกราฟ ต่อไป ในด้านจิตวิทยา บรรดานักลงทุนทั้งหลายต่างเกิดความมั่นใจว่ากราฟ จะขึ้นไปมากกว่านี้จึงเริ่มเข้ามาซื้อกัน แต่นักลงทุนที่เข้ามาตั้งแต่ เวฟ 1 และ 2 จะเริ่มเทขายเพื่อทำกำไรดังนั้นกราฟจะเริ่มตกจากจุดสูงสุดของเวฟ 3  และจะต่อเนื่องไปเป็นเวฟ 4


คลื่น4

คลื่น 4 . เกิดหลังจากเวฟ  3 โดยเกิดจากการที่ มีแรงเทขายในเวฟ 3 เพื่อทำกำไรจากนั้นก็จะมีนักลงทุนรายย่อย เข้ามาช้อนซื้อราคาที่ตกลงมาและเมื่อยิ่งตกลงมามากเท่าไหร่คนก็ยิ่งนึกว่าของถูก ก็จะยิ่งเกิดแรงซื้อมากขึ้นและเมื่อแรง ซื้อมากกว่าแรงขายแล้วก็จะสิ้นสุดเวฟ 4 โดย มาก เวฟ 4  จะมีความยาวไม่เกิน 50 % ของความยาวของเวฟ 3 ทั้งหมด และนอกจากนี้เรายังสามารถ นำความยาวของเวฟ 3 ไปกำหนด ความยาวของเวฟ 5 ได้ อีก และเมื่อราคาขึ้นไปเกิดเวฟ 5 นั่นคือเกิดจากแรงซื้อของเหล่าเม่าน้อยทั้งหลายนั้นแหละ


คลื่น5

คลื่น 5 . คือคลื่นแห่งเม่าเกิดจากนักลงทุนรายย่อยเมื่อเห็นราคาของกราฟ ขึ้นมาสูงแล้วก็เปิด Order ตาม จึงทำให้ราคาขึ้นไปเหนือ High ของเวฟ 3 จนเกิดเวฟ 5 ขึ้น โดย ทั่วไปแล้ว ความยาวของเวฟ 5 จาก เวฟ 4 จะมีความยาวไม่เกิน 25 %-50 % ของความยาวทั้งหมดของเวฟ 3

พอจะมองภาพคลื่นออกกันรึยัง?


คลื่น A

คือคลื่นที่ นักลงทุนรายใหญ่เห็นว่าราคานั้นได้ขึ้นมาสูงมากเกินไปแล้ว จะเกิดแรงเทขายเข้ามาทำให้ราคานั้นตกลง โดยมากราคาจะลงมาที่ 25-50 % ของความยาวคลื่นของเวฟ 3 จากนั้นเมื่อราคาตกแล้วก็จะเกิดแรงซื้อของนักลงทุนที่คิดว่าราคาจะปรับตัวขึ้นไปได้อีก จึงเกิด เป็นเวฟ B ต่อมา


คลื่น B

เกิดจากนักลงทุนเห็นว่าเมื่อราคาตกลงมาจากเวฟ Aแล้วราคานั้น ถูกจึง พากันเข้า ซื้อเพื่อเก็บสะสมพอร์ตโดยหวังว่า กราฟจะขึ้นทะลุ High ขึ้นไปอีกแต่แน่นอน เหนือสุดของเวฟ 5 คือแนวต้าน ก่อนจะถึงแนวต้าน นั้นนักลงทุนกลุ่มใหญ่จะเริ่มเทขายออกมา โดยมาก เวฟ B จะขึ้นไป ประมาณ 75 % ของระยะทางในแนวตั้งจาก 5 ไป เวฟ A 


คลื่น C

จะเกิดจากแรงเทขาย ของนักลงทุน รายใหญ่ ตรงนี้จะเป็นจุดที่นักลงทุนอาจขาดทุนมากที่สุดเนื่องจากแรงเทขายตรงจุดนี้จะทำให้ ราคา ดิ่งลงมาอย่างรุนแรงและ สิ่งที่จะสามารถยืนยันการเกิด เวฟ C ได้ ก็คือ เมื่อราคาได้ทะลุ Low ของ เวฟ A ลงมา

Note 1: คลื่นลูกที่ 2 จะสั้นกว่าคลื่นลูกที่ 1 และจะลงไม่ถึง ฐานของคลื่นลูกที่1 
Note 2: คลื่นลูกที่ 3 จะทีความยาวมากที่สุด
Note 3: คลื่นลูกที่ 3 จะมีความยาวประมาณ 2-3 เท่าของคลื่นลูกที่ 1
Note 4: คลื่นลูกที่ 4 จะมีความยาวไม่เกิน 50 % ของความยาวคลื่นลูกที่ 3
Note 5: คลื่นลูกที่ 5 จะมีความสูง 25-50 % ของความยาวคลื่นลูกที่ 3
Note 6: คลื่น B จะมีความสูงไม่เกิน 75 % ของยอดคลื่น 5

ทฤษฏี Elliote wave มีนักเทคนิคอล แตกแขนงออกไปอีกมากมาย และการนับเวฟของแต่ละคนก็ต่างกันออกไป


FOREX    Cryptocurrency    Crypto    หุ้น    เทคนิคอล    Elliott Wave    พฤติกรรมของกราฟ    คริปโต   
อ้างอิง

- เปิดบัญชี FOREX
- เปิดบัญชี Binance