ปัจจัยกดดันราคาทองคำ: ความแข็งแกร่งของดอลลาร์และพันธบัตรสหรัฐฯ กับโอกาสทำกำไร

อ่าน 862


ฉบับย่อ

การแข็งค่าของดอลลาร์และการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรส่งผลกดดันต่อราคาทองคำ ขณะที่แนวโน้มทางเทคนิคยังคงแสดงโอกาสในการเด้งตัวขึ้นจากแนวรับสำคัญ นักวิเคราะห์ยังคาดการณ์ว่าราคาทองคำจะปรับตัวสูงขึ้นในระยะยาว


มุมมองทางเทคนิคอลและปัจจัยพื้นฐานสำหรับการเทรดทองคำ


ข้อมูลทางเทคนิคอล (Technical Analysis):


ในภาพเป็นกราฟของราคาทองคำ (Gold Spot) โดยใช้กรอบเวลารายชั่วโมง (1h) ซึ่งแสดงการวิเคราะห์ทางเทคนิค ดังนี้:

เส้นแนวโน้มขาขึ้น: ราคาทองคำเคลื่อนตัวอยู่ในกรอบขาขึ้นที่แคบลง ซึ่งบ่งบอกถึงความเป็นไปได้ที่ราคาอาจปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อไปได้หากราคาสามารถยืนอยู่ในกรอบนี้ได้ต่อไป

แนวรับและแนวต้านสำคัญ:

แนวรับสำคัญอยู่ในกรอบสีเขียวบริเวณประมาณ 2,713-2,723 USD ซึ่งเป็นบริเวณที่ราคามีการทดสอบหลายครั้งและสามารถเด้งกลับขึ้นมาได้

แนวต้านสำคัญอยู่ที่ประมาณ 2,729 USD, 2,739 USD และ 2,758 USD ซึ่งแสดงให้เห็นถึงระดับราคาที่อาจเกิดการขายทำกำไรหรือมีแรงขายเข้ามา

EMA 50 (เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่): อยู่ที่ประมาณ 2,730 USD ซึ่งเป็นระดับที่บ่งบอกถึงแนวโน้มในระยะสั้น หากราคาสามารถยืนเหนือเส้นนี้ได้ มีแนวโน้มว่าราคาจะสามารถวิ่งขึ้นต่อได้

RSI (ดัชนีความแข็งแรงสัมพัทธ์): ค่า RSI อยู่ที่ระดับประมาณ 37.64 ซึ่งเข้าใกล้โซน Oversold (ขายมากเกินไป) บ่งชี้ว่าราคาอาจมีการดีดตัวขึ้นมาได้หากเข้าสู่โซนนี้เต็มที่

จากกราฟราคาทองคำล่าสุด เราสามารถสังเกตได้ว่าราคากำลังเคลื่อนไหวในกรอบขาขึ้นในกรอบเวลารายชั่วโมง (1h) โดยมีแนวรับสำคัญบริเวณ 2,713-2,723 USD ซึ่งราคามีโอกาสเด้งขึ้นจากแนวนี้ หากราคายังคงยืนเหนือแนวรับดังกล่าวได้ การเคลื่อนไหวนี้ได้รับการสนับสนุนจากค่า RSI ที่เข้าใกล้ระดับ Oversold (37.64) ซึ่งบ่งชี้ถึงโอกาสที่ราคาจะดีดตัวขึ้น

นอกจากนี้ แนวต้านสำคัญอยู่ที่ 2,729 USD, 2,739 USD และ 2,758 USD ซึ่งเป็นระดับที่ควรจับตามอง เพราะเป็นบริเวณที่อาจมีแรงขายเข้ามา หากราคาทองคำสามารถทะลุแนวต้านเหล่านี้ไปได้ จะเป็นสัญญาณเชิงบวกในการเข้าซื้อ

ข้อมูลทางพื้นฐาน (Fundamental Analysis):

สัญญาทองคำในตลาดนิวยอร์กเมื่อวันพุธที่ 23 ต.ค. ปิดร่วงลงกว่า 1% โดยได้รับแรงกดดันจากการแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐฯ และการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ 10 ปี ซึ่งแตะระดับ 4.255% (สูงสุดในรอบ 3 เดือน) ทั้งสองปัจจัยนี้ทำให้ทองคำซึ่งไม่ได้มีผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ยดูไม่น่าดึงดูดในสายตานักลงทุน

ดัชนีดอลลาร์ที่เพิ่มขึ้น 0.34% แตะระดับ 104.431 ส่งผลให้ราคาทองคำที่ถูกกำหนดด้วยดอลลาร์มีราคาสูงขึ้นสำหรับนักลงทุนที่ถือครองสกุลเงินอื่น ทำให้ความต้องการลดลง

อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์จากโกลด์แมน แซคส์, เจพีมอร์แกน และซิตี้กรุ๊ป ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มราคาทองคำในระยะยาว คาดการณ์ว่าราคาทองคำจะทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่องไปจนถึงปี 2025 จากความไม่แน่นอนทางการเมืองในตะวันออกกลางและสหรัฐฯ รวมถึงเงินทุนที่ไหลเข้าสู่กองทุน ETF ทองคำ

ซิตี้กรุ๊ปยังปรับเพิ่มคาดการณ์ราคาทองคำในช่วง 3 เดือนข้างหน้าสู่ระดับ 2,800 ดอลลาร์/ออนซ์ และอาจพุ่งขึ้นถึง 3,000 ดอลลาร์/ออนซ์ในช่วง 6-12 เดือนข้างหน้า

กลยุทธ์การเทรด:

สถานะซื้อ (Buy): หากราคายังคงยืนเหนือแนวรับที่บริเวณ 2,713-2,723 USD และค่า RSI ที่บ่งชี้ถึงภาวะ Oversold จะเพิ่มโอกาสในการดีดตัวขึ้น ตั้งเป้าทำกำไรที่ระดับ 2,729 USD, 2,739 USD และ 2,758 USD

สถานะขาย (Sell): หากราคาหลุดแนวรับที่บริเวณ 2,713 USD ลงมา อาจพิจารณาเปิดสถานะขายเพื่อลดความเสี่ยง ควรตั้ง Stop-Loss ที่บริเวณต่ำกว่าแนวรับนี้

ทั้งนี้ควรพิจารณาติดตามข่าวสารทางเศรษฐกิจเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของดัชนีดอลลาร์และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอย่างใกล้ชิด เนื่องจากปัจจัยเหล่านี้จะมีผลต่อราคาทองคำในระยะสั้น

ข่าวที่ส่งผลต่อราคาทองคำ

ประจำวันที่ 24 ตุลาคม 2567

เทรดด้วยความระมัดระวังเสมอนะค

การคาดการณ์ที่แจ้งคือเป็นตัวเลขที่คาดการณ์เทียบกับครั้งก่อนนะคะ ต้องรอดูค่าจริงอีกครั้งค่ะ



ราคาทองคำ    มือใหม่หัดเทรด    ดอลลาร์แข็งค่า    ซื้อทอง    การลงทุนทองคำ    วิเคราะห์ทองคำ   
อ้างอิง